บทความ

ขิงดองเต้าเจี้ยว

ขิงดองเต้าเจี้ยวเป็นวิธีถนอมอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเก็บขิงไว้รับประทานได้นานและให้รสชาติที่แปลกไปอีกแบบ ดูวิธีทำขิงดองเต้าเจี้ยวได้ดังต่อไปนี้   ส่วนผสม ขิงอ่อนสดหั่น 2 ถ้วย เต้าเจี้ยว 4 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา น้ำ ½ ถ้วย เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ให้เลือกขิงที่อ่อนและสดขนาดพอเหมาะ นำมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก เสร็จแล้วนำมาหมักกับเกลือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะแล้วบีบเอาน้ำรสขื่นและเผ็ดออกไปให้หมดก่อน แล้วนำมาล้างด้วยน้ำเปล่าเสร็จแล้วบีบเอาน้ำทิ้งอีกครั้ง แล้วเอาขิงและพริกขี้หนูไปลวกในน้ำเดือด 2 นาที เสร็จแล้วนำเต้าเจี้ยวผสมน้ำ น้ำตาลทรายแล้วนำไปต้มจนเดือด ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นก่อนจะคลุกเคล้ากับขิงพริกขี้หนูให้เข้ากันดี เสร็จแล้วนำใส่ในขวดโหลแก้วมีฝาปิดที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคแล้ว ทิ้งไว้ในห้อง 4 วันก็กินได้ จะได้ขิงรสชาติอร่อยสามารถนำมากินกับข้าวต้ม ข้าวมันไก่ เป็ดย่าง และสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานอีกด้วย เคล๋็ดลับถัดไป เปลือกแตงโมแช่อิ่มแห้ง เคล่็ดลับก่อนหน้า วิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนแมงกะพรุน

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนแมงกะพรุน

แมงกะพรุนเป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายร่ม หรือกระดิ่งคว่ำลง และมีลำตัวโปร่งแสงประกอบด้วยวุ้น แมงกะพรุนจะล่องลอยไปตามกระแสน้ำ มีหนวดพิษและเหล็กในจำนวนมาก หากใครไปโดนตัวแมงกะพรุนจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน คัน ปวดเมื่อยตามร่างกาย และอาจพบว่าผิวหนังไหม้เกรียมหรือเป็นแผลนูนพอง เมื่อตกสะเก็ดแล้วก็ยังมีแผลขึ้นมาใหม่กินเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังมีอาการ จุกแน่นยอดอก หายใจลำบาก และเป็นไข้ หรืออาจมีอาการเขียวคล้ำ เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่พอ ในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ซึ่งแล้วแต่ชนิดของแมงกะพรุนส่วนของลำตัวที่โดน เช่น หากโดนที่เนื้อเยื่ออ่อน เช่น บริเวณขาอ่อน หรือซอกคอ จะมีอาการรุนแรงกว่าส่วนอื่น   การปฐมพยาบาลขั้นต้นสำหรับผู้โดนแมงกะพรุน หากโดนแมงกะพรุนให้ใช้ทรายตามชายหาดมาขัดถูกเมือกแมงกะพรุนออกแล้วล้างตัวด้วยสบู่หรือเอาน้ำส้มสายชูล้างออก เพื่อไม่ให้นีมาโตซีสต์ปล่อยน้ำพิษภายในกระเปาะออก จากนั้นทาด้วยน้ำปูนใส หรือแอมโมเนีย หรือใช้ใบผักบุ้งทะเลบรรเทาพิษแมงกะพรุน โดยขยี้ใบผักบุ้งทะเลให้แหลกแล้วเอามาพอกบรรเทาปวดหรือทาด้วยยาเพรดนิโซโลนหรือ เมทธาโซนครีม ถ้าปวดมากจนทนไม่ไหว

เกาลัดสมุนไพรฤทธิ์อุ่น

เกาลัดเป็นสมุนไพรฤทธิ์อุ่นอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณและประโยชน์ทางยามากมายที่ควรรู้ไว้ นอกจากนี้รสชาติของเกาลัดก็หอม หวาน มันอร่อยอีกด้วยดูสรรพคุณและวิธีใช้เกาลัดในฐานะสมุนไพรฤทธิ์อุ่นชนิดหนึ่งได้ดังนี้ครับ สรรพคุณ เกาลัดมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน และมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงไต กล้ามเนื้อ ม้ามรวมทั้งกระเพาะอาหารและบำรุงลม สามารถใช้แก้ไอ ละลายเสมหะ แก้อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเดิน สามารถช่วยในการห้ามเลือด และการไหลเวียนของเลือดได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการถ่ายเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล แก้วัณโรคที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และแก้อาเจียนเป็นเลือด วิธีใช้ ต้มเกาลัด 500 กรัมกับน้ำตาลทราย 150 กรัมจนนิ่ม แล้วนำมายีและกดด้วยแม่พิมพ์ กินเป็นขนมหรือของว่างสำหรับเด็กที่มีกระดูกและกล้ามเนื้ออ่อนแอ และยังเหมาะกับผู้ป่วยหรือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง กินเกาลัดแห้ง 7 เมล็ดต่อวัน กับโจ๊กไตเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและปวดเท้าได้ หรือกินเกาลัดดิบ แก้คออักเสบ ใช้เปลือกเกาลัดบดเป็นผงให้ได้ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้ง 30 กรัม กินรักษาริดสีดวงทวาร ต้มเกาลัด 60 กรัมกับพุทราจีนแห้ง 4 ผล และเนื้อกิ

ผลเสียของการขับรถลากเกียร์และเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็ว

เกียร์รถเป็นอุปกรณ์ที่ติดมากับตัวรถอีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญมากเพราะเป็นส่วนประกอบของรถที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหรือเคลื่อนที่ไปได้ ในปัจจุบันรถยนต์ตามท้องตลาดทั่วไปที่ผลิตขึ้นมาจะเป็นแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต การขับรถยนต์โดยเฉพาะรถที่ใช้เกียร์ธรรมดา การเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง คลัทช์ และเบรกจะต้องสัมพันธ์กันถึงจะท่ำให้รถแล่นไปได้อย่างคล่องตัวและปลอดภัย นอกจากนี้หากปฏิบัติได้ถูกวิธีก็จะปลอดภัยจากอุบัติเหตุแล้วยังจะช่วยยืดอายุเครื่องยนต์หรือสามารถใช้รถยนต์ได้นานขึ้นไม่เสียเร็ว ฉะนั้นควรขับขี่อย่างปลอดภัยและเข้าเกียร์ให้ถูกต้อง ดูวิธีปฏิบัติในการเข้าเกียร์อย่างถูกต้องได้ดังนี้ครับ   เวลาขับรถอย่าขับแบบลากเกียร์ เพราะการลากเกียร์มีผลเสียต่อรถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะลากเกียร์ในกรณีใดก็ตาม เช่น ในขณะที่กำลังเร่งเพื่อจะแซงรถคันหน้า หรือขณะขับขึ้นเนินก็ตาม ผลเสียก็คือจะทำให้คลัตช์เสียเร็วขึ้น แถมยังกินแรงของเครื่องยนต์ รวมไปถึงทำให้ยางล้อรถหมดอายุไวขึ้นอีกด้วย ถ้าต้องการยืดอายุการใช้งานรถยนต์ ประการแรกสุดที่ควรทำคือเปลี่ยนเกียร์ในจังหวะที่เหมาะสม เช่น หยุดรถให้นิ่งก่อนจะใส่เกียร์ถ