บทความ

กลิ่นเผ็ดคาวติดครกจะแก้อย่างไร?

กลิ่นเผ็ดคาวติดครกเกิดหลังจากที่ท่านตำเครื่องแกงและพริกแกงเสร็จแล้วซึ่งล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออกหรือไม่หมดไปสักที กลิ่นเผ็ดที่ติดอยู่ก็เกิดจากพริกที่นำมาตำโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นพริกสดจะมีกลิ่นเผ็ดหืนๆอย่างรุนแรงติดอยู่ แม้แต่พริกแห้งก็เถอะก็ส่งกลิ่นไม่แพ้กัน ส่วนกลิ่นคาวมีสาเหตุมาจากกะปิที่ใส่ผสมลงไปตอนตำน้ำพริกหรือตำเครื่องแกงนั่นเองหรือบางท่านอาจใส่ปลาร้าลงไปตำด้วยก็ยิ่งทำให้ครกส่งกลิ่นคาวและล้างยากเข้าไปใหญ่จะไม่ใส่ก็ไม่ได้เพราะบางคนชอบรับประทานเป็นชีวิตจิตใจแบบใครเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมกันเลยทีเดียว และยิ่งเป็นการตำเครื่องแกงแม้ไม่มีปลาร้าแต่กะปิก็ถือว่าเป็นสิ่งขาดไม่ได้เพราะถือเป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งของเครื่องแกง ลำพังใช้ครกตำเครื่องแกงอย่างเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอกแต่หากจะนำครกไปตำอย่างอื่นด้วยกลิ่นเผ็ดคาวดังกล่าวก็จะติดอาหารอย่างอื่นไปด้วย แต่กลิ่นที่ว่าสามารถแก้ได้ครับ วิธีแก้กลิ่นเผ็ดคาวติดครกก็คือให้ท่านเอาข้าวสารสักครึ่งกำมือ ใส่ลงไปในครกแล้วเติมน้ำอีกนิดเสร็จแล้วให้ตำข้าวสารให้ละเอียดพร้อมทั้งเกลี่ยข้าวสารให้ทั่วครกเสร็จแล้วล้างออกกลิ่นเผ็ดคาวก็จะหมดไปเองครับ เคล็ดลับถัดไป

วิธีทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้บำบัดน้ำเสียในบ่อเลี้ยงปลา

น้ำหมักชีวภาพมีประโยชน์ต่อเกษตรกรมากเพราะไม่เพียงแต่สามารถใช้บำบัดน้ำเสียในบ่อเลี้ยงปลาและสัตว์น้ำเท่านั้นแต่ยังใช้ประโยชน์ในการเกษตรด้านอื่นๆได้ด้วย และไม่ว่าท่านจะทำการเกษตรรูปแบบไหนน้ำหมักชีวภาพก็สามารถช่วยได้หลากหลาย เช่น ช่วยในการปรับปรุงคุณภาพดิน เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้หรือพืชอื่นๆก็ได้ ที่สำคัญที่จะกล่าวในที่นี้คือช่วยบำบัดน้ำเสียในบ่อปลาและป้องกันปลาเป็นโรคต่างๆได้ดียิ่ง  และหากท่านสามารถผลิตน้ำหมักขึ้นมาใช้เองได้ก็จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้มากทีเดียว เกษตรกรสามารถทำน้ำหมักชีวภาพใช้เองได้โดยเฉพาะเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในบ่อดินท่านสามารถทำน้ำหมักชีวภาพด้วยสูตรต่อไปนี้ครับ ส่วนผสม กล้วยสุก 25 กิโลกรัม สับปะรด 25 กิโลกรัม กากน้ำตาล 10 ลิตร น้ำสะอาด 10 ลิตร ถังใช้หมักที่ไม่ใช่โลหะ 1  ถัง วิธีทำน้ำหมักชีวภาพ 1 สับกล้วยและสับปะรดให้เป็นชิ้นเล็กๆเสร็จแล้วนำไปใส่ในถังหมัก 2 เติมกากน้ำตาลกับน้ำลงไปในถังหมักแล้วคนให้เข้ากันแล้วปิดฝาให้สนิทนำไปวางในที่ร่ม 3 ให้คนส่วนผสมในถังหมักดังกล่าวประมาณ 10 วันต่อครั้ง ทำอย่างนี้สักประมาณ 45 วันก็สามารถนำน้ำหมักชีวภาพไปใช้ได้แ

สมุนไพรรักษาโรคเบาหวานตอนที่ 1

ส่วนผสม รังผึ้ง 1 รัง(เอาทั้งรังพร้อมทั้งตัวอ่อน) เหล้า 1 ขวด หัวกระชาย 12 หัว เปลือกตะโกนา 3 เปลือก (ต้นตะโกดัดสดหรือแห้งก็ได้) ต้นเหงือกปลาหมอ 6 ถ้วยชาจีน พริกไทยล่อน 3 ถ้วยชาจีน น้ำผึ้งแท้ วิธีทำและวิธีรับประทาน ให้เอาส่วนผสมสี่อย่างแรกมาดองรวมกันโดยเอารังผึ้งมาใส่ในขวดโหลเทเหล้าลงผสมพอท่วมรังผึ้ง แล้วใส่หัวกระชายตามไป หัวกระชายที่จะใส่ให้ปอกเปลือกและทุบให้แตกก่อนเสร็จแล้วใส่เปลือกตะโกนาลงไปหลังจากนั้นให้ดองไว้สัก 3 วันพอได้ที่แล้วให้นำมาดื่มวันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเช้าและเย็นโดยดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชาจีนให้ดื่มอย่างนี้ติดต่อกันจนครบ 1 เดือน แล้วให้เอาต้นเหงือกปลาหมอ (ใช้ทั้งต้นจนถึงราก) มาสักพอประมาณแล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด เสร็จแล้วให้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปตากแดดให้แห้งแล้วนำมาบดเป็นผงให้ได้จำนวน 6  ถ้วยชาจีน แล้วเอาพริกไทยล่อนสัก 3 ถ้วยชาจีนบดให้ละเอียดผสมรวมกับน้ำผึ้งแท้เมื่อผสมรวมกันเสร็จสรรพให้ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทราให้ได้สัก 108 เม็ดแล้วกินครั้งละ 1 เม็ดก่อนอาหารเช้าและเย็นให้กินติดต่อกันอย่างนี้ทุกวันจนครบ 54 วัน สรรพคุณ ช่วยแก้โรคเบาหวาน

การรับประทานอาหารกระป๋องอย่างถูกวิธี

คิดว่าทุกคนคงจะรู้จักและคุ้นเคยกับอาหารกระป๋องเป็นอย่างดีและเชื่อแน่ว่าทุกคนเคยรับประทานอาหารกระป๋องกันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เนื่องจากอาหารกระป๋องมีมากมายหลายชนิด สาเหตุที่ทางโรงงานผู้ผลิตผลิตอาหารกระป๋องออกมาก็เพราะสะดวกต่อผู้บริโภคและสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปีๆทีเดียวอีกอย่างพกพาไปรับประทานที่ไหนก็สะดวกสบายไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนภาชนะ นอกจากนี้อาการกระป๋องมีมากมายหลากหลายชนิด มีทั้งอาหารคาว อย่างปลากระป๋อง หอยทอดกระป๋อง ปลาร้ากระป๋อง ส่วนอาหารกระป๋องที่เป็นของหวานหรืออาหารว่างก็มีมากมายเช่น เงาะกระป๋อง ลิ้นจี่กระป๋อง ซุปข้าวโพดกระป๋อง เป็นต้น อาหารกระป๋องถือได้ว่าเป็นวิธีการถนอมอาหารโดยใช้เทคโนโลยีชนิดหนึ่งที่สามารถเก็บอาหารไว้ได้นานกว่าการถนอมอาหารในรูปแบบปกติทั่วไป แต่อาการกระป๋องที่บรรจุอยู่ในกระป๋องนานๆนั้นเมื่อจะรับประทานควรนำมาอุ่นบนเตาไฟหรือตู้อบเสียก่อนถึงจะดี ส่วนวิธีอุ่นก็ควรเทอาหารกระป๋องใส่ภาชนะหุงต้ม เช่น หม้อ กระทะ หากอุ่นในเตาอบก็ให้ใช้ภาชนะสำหรับเตาอบแต่อย่าอุ่นทั้งกระป๋องเพราะเมื่อกระป๋องโดนความร้อนสารตะกั่วจากกระป๋องที่บรรจุอาหารอยู่จะละลายและผสมกับอาหารเมื่อรั

การใช้ประโยชน์จากเศษชิ้นส่วนของไก่และเป็ด

สำหรับท่านที่ชอบรับประทานเนื้อเป็ด เนื้อไก่ และโดยเฉพาะหากท่านเป็นคนชำแหละเนื้อสัตว์ดังกล่าวด้วยตัวเอง และหากเป็นไก่เนื้อท่านอาจจะเลาะเพียงเนื้อออกมาทำอาหารรับประทานและจะเหลือส่วนที่เป็นโครงกระดูกหรือส่วนคอและเครื่องในบางอย่าง ผู้เขียนอยากจะบอกว่า เศษชิ้นส่วนของไก่หรือเป็ดเหล่านี้มีประโยชน์ครับอย่าทิ้งไปเปล่าๆ แต่ให้ท่านเก็บสะสมไว้โดยแช่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งเมื่อได้ปริมาณมากพอสมควรก็ให้เอามาทำโครงไก่ชุบแป้งทอดหรือคลุกกับเครื่องเทศแล้วนำไปทอดก็อร่อยไม่แพ้กัน สำหรับท่านที่ไม่ชอบทานอาหารประเภททอดก็ให้นำเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นมาต้มทำเป็นน้ำสต็อคหรือน้ำซุป ก็อร่อยและมีประโยชน์อีกด้วยครับ นอกจากนี้ท่านยังนำน้ำซุปดังกล่าวไปปรุงร่วมกับอาหารชนิดอื่นได้อีกด้วย เช่นใช้ทำแกงเลียงผักต่างๆ หรือนำมาเติมใส่ในอาหารประเภทผัดเพื่อเพิ่มรสชาติก็ได้ หากน้ำซุปดังกล่าวเหลือเยอะก็ให้เก็บไว้ในช่องแช่แข็งต่อพอจะทำอาหารหรือเมื่อต้องการใช้น้ำซุปครั้งต่อไปก็แค่นำออกมาอุ่นให้ละลายก็ใช้ปรุงอาหารหรือรับประทานเป็นน้ำซุปได้อีกเหมือนเดิมครับ เคล็ดลับถัดไป การรับประทานอาหารกระป๋องอย่างถูกวิธี เคล็ดลับก่อนหน้า ฝา

ฝาขวดปิดแน่นทำอย่างไรให้เปิดออก

บทความฝาขวดปิดแน่นทำอย่างไรให้เปิดออกกล่าวถึงวิธีเปิดฝาขวดที่ถูกปิดไว้แน่น และปกติไม่สามารถเปิดออกได้หรือเปิดออกได้ยาก หรือในกรณีที่มือลื่นไม่อาจเปิดฝาขวดได้ ฝาขวดส่วนมากจะเป็นแบบเกลียวที่หมุนปิดเอาไว้พอจะเปิดก็ต้องหมุนเปิดเพื่อให้ฝาขวดหลุดออกจากขวด ฝาขวดลักษณะนี้บางทีก็เปิดยากซึ่งอาจเป็นเพราะมีคราบของสิ่งที่อยู่ในขวดหรือคราบผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในขวดติดอยู่ตามเกลียวขวดหลังจากการเปิดใช้ในครั้งก่อน หรือบางทีอาจเป็นไปได้ว่าที่เปิดยากนั้นเพราะขวดนั้นยังใหม่อยู่หรือเพิ่งซื้อมาและจะเปิดใช้เป็นครั้งแรก จึงอาจทำให้เปิดยากอยู่พอสมควร เช่น ฝาขวดซอสชนิดต่างๆ เป็นต้น หากท่านพยายามเปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักทีวิธีแก้ก็คือให้ท่านนำกระดาษทรายหรือผ้าหยาบๆ มาหุ้มหรือห่อฝาขวดให้แน่น โดยให้ด้านที่เป็นผิวทรายหยาบๆอยู่ด้านในสัมผัสกับฝาขวดแล้วให้จับฝาขวดไว้ให้แน่นเสร็จแล้วหมุนเปิดฝาขวดออกตามปกติท่านจะพบว่าสามารถเปิดฝาขวดออกมาได้อย่างง่ายดายครับ เคล็ดลับถัดไป การใช้ประโยชน์จากเศษชิ้นส่วนของไก่และเป็ด บทความก่อนหน้า วิธีขจัดคราบหินปูนที่เกาะในกาต้มน้ำ

วิธีขจัดคราบหินปูนที่เกาะในกาต้มน้ำ

แม้หลายครัวเรือนจะ ใช้ หม้อต้มน้ำแทนกาต้มน้ำ แต่การใช้กาต้มน้ำก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ เพราะสะดวกในการรินน้ำออกจากกาไม่ลำบากเหมือนการเทน้ำออกจากหม้อ และอีกอย่างกาต้มน้ำมีหูจับที่จับถนัดมือกว่าและสามารถจับได้ด้วยมือข้างเดียวไม่เหมือนหม้อต้มน้ำที่ต้องจับสองมือ นอกจากนี้กาต้มน้ำยังใช้งานได้สะดวกกว่าในการต้มน้ำหรือชงชาเพราะสามารถยกการินน้ำใส่ภาชนะหรือแก้วได้ง่ายกว่าหม้อ จึงมีการนิยมใช้กาต้มน้ำอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะตามร้านน้ำชาหรือร้านขายเครื่องดื่มร้อนๆอย่างชา กาแฟทั่วไป แต่กาที่ใช้ต้มน้ำร้อนหรือต้มน้ำชาเมื่อใช้ไปนานๆอาจพบว่ามีหินปูนเกาะอยู่ด้านในของกาซึ่งดูแล้วไม่สะอาดและทำให้น้ำต้มหรือชาที่ต้มในกาดังกล่าวไม่ชวนดื่มและที่สำคัญหินปูนดังกล่าวขัดออกยากมากด้วย หลายคนอาจสงสัยว่า ทำอย่างไรถึงจะขจัดคราบหินปูนที่เกาะในกาต้มน้ำได้ วิธีขจัดคราบหินปูนที่เกาะในกาต้มน้ำให้สะอาดหมดจดจนเหมือนได้กาต้มน้ำใบใหม่ก็คือให้ท่านเทน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ลงไปในกาต้มน้ำและให้เติมน้ำจนถึงระดับคอของกาต้มน้ำแล้วนำไปต้มให้เดือดสักประมาณ 15 นาทีเสร็จแล้วเปิดฝากาปล่อยให้เดือดต่อไปอีก 5 นาทีจึงนำมาขัดให้สะอาด ท่านจะพบว่าครา